วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำความรู้จักกับ CPU รุ่นต่าง ๆ ที่มีใช้งานมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ทำความรู้จักกับ CPU รุ่นต่าง ๆ ที่มีใช้งานมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ทำความรู้จักกับ CPU รุ่นต่าง ๆ ที่มีใช้งานมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

สำหรับหน้านี้ มีความต้องการให้ท่านได้พอรู้จัก CPU ต่าง ๆ บ้าง ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่า ทั้งหมดที่ได้รวบรวมมา อาจจะมีบางอย่างผิดพลาดได้บ้าง ทั้งนี้ได้พยายามสรุปมาเท่าที่ ความรู้ความสามารถจะพอทำได้ หวังเพียงว่าให้ท่าน ได้พอรู้จักการพัฒนาของ CPU แบบต่าง ๆ ที่มีใช้งานกันบ้าง
CPU รุ่นเก่า ๆ ในอดีต
เริ่มจากยุคแรก ๆ สมัยที่มีคอมพิวเตอร์ใช้กันเลยอันนี้ก็เป็นการพัฒนาของ Intel
· 1971 : 4004 Microprocessor รุ่นแรกของ· Intel ใช้ง· านในเครื่อง· คิดเลข
· 1972 : 8008 Microprocessor รุ่นที่พัฒนาต่อมา ใช้ง· านแบบ "TV typewriter" กับ dump terminal
· 1974 : 8080 Microprocessor รุ่นนี้เป็นการใช้ง· านแบบ Personal Computer รุ่นแรก ๆ
· 1978 : 8086-8088 Microprocessor หรือรุ่น XT ยัง· เป็นแบบ 8 bit เป็น PC ที่เริ่มใช้ง· านจริง· จัง·
· 1982 : 80286 Microprocessor หรือรุ่น AT 16 bit เริ่มเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ง· านแพร่หลายกันแล้ว
· 1985 : 80386 Microprocessor เริ่มเป็น CPU 32 bit และสามารถทำง· านแบบ Multitasking ได้
· 1989 : 80486 Microprocessor เข้าสู่ยุคของ· การใช้จอสี และมีการติดตั้ง· Math-Coprocessor ในตัว
· 1993 : Pentium Processor หลายคนยัง· ใช้อยู่ในตอนนี้ครับ
· 1995 : Pentium Pro Processor สำหรับเครื่อง· Server และ Work Station
· 1997 : Pentium II Processor ปัจจุบันยัง· พอหาได้อยู่บ้าง·
· 1998 : Pentium II Xeon(TM) Processor สำหรับ Server และ Work Station
· 1999 : Celeron(TM) Processor สำหรับตลาดระดับล่าง· ของ· Intel ที่ตัดความสามารถบาง· ส่วนออก
· 1999 : Pentium III Processor เป็นที่นิยมกันมาก
· 1999 : Pentium III Xeon(TM) Processor สำหรับ Server และ Work Station
ในยุคของ 80486 และ Pentium ส่วนของ AMD ก็เริ่มออก CPU มาบ้างแล้วเท่าที่เคยได้ยินมาบ้างก็มีดังนี้ X86, AM186, AM386, AM486 แต่รุ่นที่เริ่มพอจะเคยได้ยินมาก็จะเริ่มที่ 5x86, K5, K6, K6-II, K6-III, Athlon ปัจจุบันมีข่าวของ Spitfire และ Thunderbird บ้างแล้ว
ยุดกลาง ๆ ก็ยังมี Cyrix อีกยี่ห้อหนึ่ง เริ่มจากไหนไม่แน่ใจ แต่ที่เคยได้ยินก็จะเป็น 6x86, 6x86MX และ Cyrix MII ซึ่งปัจจุบันนี้ยังพอเห็นมีขายอยู่บ้าง
มาดู CPU ในแต่ละรุ่นเปรียบเทียบกันดีกว่า

Brand Model Detail
Intel 8086 ?
Intel 8088 ?
Intel 80186 ?
Intel 80286 ?
Intel 80386 (SX/DX) 16-33 MHz Vcore 5.5V.
Intel 80486 (SX/DX2) 25-66 MHz L1=8K Vcore 5.25V.
Intel 80486 (DX4) 75-100 MHz L1=16K Vcore=3.6V.
Intel 80586 (Pentium) 60-100MHz L1=8+8K
Intel Pentium Classic (P54C) 100-166MHz L1=8+8K Vcore 3.3V
Intel Pentium MMX (P55C) 166-233MHz MMX, L1=16+16K Vcore 2.8V
AMD 5x86 L1=16K
AMD K5 L1=8+16K
AMD K6 166-300MHz MMX L1=32+32K
Cyrix 6x86 PR166 Vcore 3.5V
Cyrix 6x86MX PR200-233 Vcore 2.9V
Cyrix M II PR300-333 Vcore 2.9V
CPU รุ่นปัจจุบัน
ทีนี้มาดู CPU รุ่นปัจจุบันกันบ้าง คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใครที่กำลังมองหาซื้อ CPU ใหม่ตอนนี้

Brand Model Speed FSB Vcore Interface Techonoly
Intel Pentium II 233-333 MHz 66 MHz 2.8 V. Slot-1 0.35Micron MMX L1=32K L2=512K Half Speed
Intel Pentium II 350-450 MHz 100 MHz 2.0 V. Slot-1 0.25Micron MMX L1=32K L2=512K Half Speed
Intel Celeron 266-300 MHz 66 MHz 2.0 V. Slot-1 0.25Micron MMX L1=32K no L2
Intel Celeron 300-533 MHz 66 MHz 2.0 V. FC-PGA 370 / Slot-1 0.25 Micron MMX L1=32K L2=128K Full Speed
Intel Celeron II 533-766 MHz 66 MHz 1.50 V. FC-PGA 370 0.18Micron MMX SSE Ondie L2=128K Full Speed
Intel Celeron II 800-1000 MHz 100 MHz 1.50 V. FC-PGA 370 0.18Micron MMX SSE Ondie L2=128K Full Speed
AMD K6-II 266-366 MHz 66 MHz 2.2 V. Socket 7 0.25Micron MMX 3DNow! L1=64K
AMD K6-II 350-500 MHz 100 MHz 2.2 V. Socket 7 0.25Micron MMX 3DNow! L1=64K
AMD K6-III 400-450 MHz 100 MHz 2.4 V. Socket 7 0.25Micron MMX 3DNow! L1=64K L2=256K Full Speed
AMD K6-II+ 500-550 MHz 100 MHz 2.0 V. Socket 7 0.18Micron MMX 3DNow! L2=128K
AMD K6-III+ 450 MHz 100 MHz 2.0 V. Socket 7 0.18Micron MMX 3DNow! L2=256K
AMD Athlon K7 500-1000 MHz 200 MHz DDR 1.60 V. Slot-A 0.25Micron MMX E-3DNow! L1=128K L2=512K Half Speed
Cyrix C3 700-933 MHz ? ? Socket 370 ?
Intel Pentium III 450-600 MHz 100 MHz / 133 MHz 2.0 V. Slot-1 0.25 Micron MMX SSE L1=32K ECC L2=512K Half Speed
Intel Pentium III 500-733 MHz 100 MHz / 133 MHz 1.65 V. FC-PGA 370 0.18Micron MMX SSE Ondie L2=256K Full Speed
Intel Pentium III 800-1130 MHz 133 MHz 1.70 V. FC-PGA 370 0.18 Micron MMX SSE Ondie L2=256K Full Speed
Intel Celeron II - Tualatin 1.0A-1.3A GHz 100 MHz 1.47 V. FC-PGA 370 0.18Micron MMX SSE Ondie L2=256K Full Speed
AMD Duron 600-1200 MHz 200 MHz DDR 1.60 V. Socket A 0.18Micron MMX E-3DNow! L1=128K L2=64K Full Speed
AMD Athlon T-Bird 700-1533 MHz 200/266 MHz DDR 1.70 V. Socket A 0.18Micron MMX E-3DNow! L1=128K L2=256K Full Speed
AMD Athlon XP+ 1333-1667 MHz 266 MHz DDR 1.75 V. Socket A 0.18Micron MMX E-3DNow! L1=128K L2=256K Full Speed
AMD Athlon MP 1200 MHz 266 MHz DDR 1.75 V. Socket A 0.18Micron MMX E-3DNow! L1=128K L2=256K Full Speed SMP
Intel Pentium 4 1.3-1.8 GHz 400 MHz QDP 1.70 V. FC-PGA 423 0.18Micron MMX SSE2 L2=256K Full Speed
Intel Pentium 4 1.5-2.0 GHz 400 MHz QDP 1.70 V. FC-PGA 478 0.18Micron MMX SSE2 L2=256K Full Speed
Intel Pentium 4(A) 1.6A-2.2A GHz 400 MHz QDP 1.50 V. FC-PGA 478 0.13Micron MMX SSE2 L2=512K Full Speed

AMD Advance Micro Device
MMX MultiMedia eXtension
SSE Streaming SIMD Extensions
PGA Pin Grid Array
SECC Single Edge Contact Cartridge
SEPP Single Edge Processor Package
SMP Symmetric Multi-Processor
FC-PGA Flip-Chip Pin Grid Array
DDR Double Data Rate
QDP Quad-Pumped Techonology
L1 Cache Level 1 จะอยู่ภายในชิป
L2 Cache Level 2 อยู่ในหรือนอกชิป
On die Cache Level 2 ที่อยู่ในตัวชิป
ก็ต้องบอกก่อนนะครับว่าในหน้านี้ทั้งหมด ผมเพียงแค่สรุปมาให้เห็นภาพและเข้าใจง่าย ๆ เท่านั้น หากท่านใดต้องการข้อมูลของ CPU แบบละเอียด ลึกซึ้งละก็ ไปดูที่เว็บไซต์ตาม Link เหล่านี้
· http://www.intel.com
· http://www.amd.com
· http://www.cyrix.com
· http://www.ibm.com

VGA Card หรือ Display Adapter

VGA Card หรือ Display Adapter

VGA Card หรือ Display Adapter
มีหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณ digital ให้เป็นสัญญาณภาพ โดยมี Chip เป็นตัวหลักในการประมวลการแปลงสัญญาณ ส่วนภาพนั้น CPU เป็นผู้ประมวลผล แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีการประมวลผลภาพนั้น VGA card เป็นผู้ประมวลผลเองโดย Chip นั้นได้เปลี่ยนเป็น GPU (Grarphic Processing Unit) ซึ่งจะมีการประมวลภาพในตัว Card เองเลย เทคโนโลยีนี้เป็นที่แพร่หลายมากเนื่องจากราคาเริ่มปรับตัวต่ำลงมาจากเมื่อก่อนที่เทคโนโลยีนี้เพิ่งเข้ามาใหม่ๆ โดย GPU ค่าย Nvidia เป็นผู้ริเริ่มการลุยตลาด

Card VGA-ISA

Card VGA-VESA

Card VGA-PCI

Card VGA-AGP
หลักการทำงานพื้นฐานของการ์ดแสดงผลจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อโปรแกรมต่างๆ ส่งข้อมูลมาประมวลผลที่ ซีพียูเมื่อซีพียูประมวลผล เสร็จแล้ว ก็จะส่งข้อมูลที่จะนำมาแสดงผลบนจอภาพมาที่การ์ดแสดงผล จากนั้น การ์ดแสดงผล ก็จะส่งข้อมูลนี้มาที่จอภาพ ตามข้อมูลที่ได้รับมา การ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาส่วนใหญ่ ก็จะมีวงจร ในการเร่งความเร็วการแสดงผลภาพสามมิติ และมีหน่วยความจำมาให้มากพอสมควร
หน่วยความจำ
การ์ดแสดงผลจะต้องมีหน่วยความจำที่เพียงพอในการใช้งาน เพื่อใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ได้รับมาจากซีพียู และสำหรับการ์ดแสดงผล บางรุ่น ก็สามารถประมวลผลได้ภายในตัวการ์ด โดยทำหน้าที่ในการ ประมวลผลภาพ แทนซีพียูไปเลย ช่วยให้ซีพียูมีเวลาว่ามากขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น
เมื่อได้รับข้อมูลจากซีพียูมาการ์ดแสดงผล ก็จะเก็บข้อมูลที่ได้รับมาไว้ในหน่วยความจำส่วนนี้นี่เอง ถ้าการ์ดแสดงผล มีหน่วยความจำมากๆ ก็จะรับข้อมูลมาจากซีพียูได้มากขึ้น ช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพ มีความเร็วสูงขึ้น และหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงก็ยิ่งดี เพราะจะมารถรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น ยิ่งถ้าข้อมูล ที่มาจากซีพียู มีขนาดใหญ่ ก็ยิ่งต้องใช้หน่วยความจำที่มีขนาดใหญ่ๆ เพื่อรองรับการทำงานได้โดยไม่เสียเวลา ข้อมูลที่มี ขนาดใหญ่ๆ นั่นก็คือข้อมูลของภาพ ที่มีสีและความละเอียดของภาพสูงๆ
ความละเอียดในการแสดงผล
การ์ดแสดงผลที่ดีจะต้องมีความสามารถในการแสดงผลในความละเอียดสูงๆ ได้เป็นอย่างดี ความละเอียดในการแสดงผลหรือ Resolution ก็คือจำนวนของจุดหรือพิเซล (Pixel) ที่การ์ดสามารถนำไป แสดงบนจอภาพได้ จำนวนจุดยิ่งมาก ก็ทำให้ภาพที่ได้ มีความคมชัดขึ้น ส่วนความละเอียดของสีก็คือ ความสามารถในการแสดงสี ได้ในหนึ่งจุด จุดที่พูดถึงนี้ก็คือ จุดที่ใช้ในการแสดงผล ในหน้าจอ เช่น โหมดความละเอียด 640x480 พิกเซล ก็จะมีจุดเรียงตามแนวนอน 640 จุด และจุดเรียงตามแนวตั้ง 480 จุด
โหมดความละเอียดที่เป็นมาตราฐานในการใช้งานปกติก็คือ 640x480 แต่การ์ดแสดงผลส่วนใหญ่ สามารถที่จะแสดงผลได้หลายๆ โหมด เช่น 800x600, 1024x768 และการ์ดที่มีประสิทธิภาพสูงก็จะ สามารถแสดงผลในความละเอียด 1280x1024 ส่วนความละเอียดสก็มี 16 สี, 256 สี, 65,535 สี และ 16 ล้านสีหรือมักจะเรียกกันว่า True color
อัตราการรีเฟรชหน้าจอ
การ์ดแสดงผลที่มีประสิทธิภาพ จะต้องมีอัตราการรีเฟรชหน้าจอได้หลายๆ อัตรา อัตราการรีเฟรชก็คือ จำนวนครั้งในการกวาดหน้าจอ ใหม่ในหนึ่งวินาที ถ้าหากว่าอัตรารีเฟรชต่ำ จะทำให้ภาพบนหน้าจอ มีการกระพริบ ทำให้ผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ เกิดอาการล้า ของกล้ามเนื้อตา และอาจทำให้เกิดอันตราย กับดวงตาได้ อัตราการรีเฟรชในปัจจุบันอยู่ที่ 72 เฮิรตซ์ ถ้าใช้จอภาพขนาดใหญ่ อัตรารีเฟรชยิ่งต้องเพิ่มมากขึ้น อัตรารีเฟรชยิ่งมากก็ยิ่งดี

ทำอย่างไร เมื่อคอมพิวเตอร์แฮงค์

ทำอย่างไร เมื่อคอมพิวเตอร์แฮงค์

ทำอย่างไร เมื่อคอมพิวเตอร์แฮงค์
การใช้งาน Windows 98 ปกติต้องบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ เลยที่จะเกิดอาการแฮงค์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลเนื่องจาก ระบบของ Windows ยังมีปัญหาต่าง ๆ อยู่ โดยที่หลาย ๆ ท่านก็ยังบอกว่าไม่มี Windows รุ่นไหนหรอกครับที่จะสมบูรณ์ที่สุด ทุกอย่างย่อมต้องมีปัญหา และมีการแก้ไขปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ครับ เข้าเรื่องกันดีกว่า ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี เมื่อจู่ ๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังใช้งาน (หรือเล่น) อย่างเมามัน เกิดอาการนิ่งไปซะดื้อ ๆ ซะนี่ แต่อย่าเพิ่งคิดนะครับ ว่าผมจะสอนวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จริงต้องบอกว่า การแก้ไขปัญหาแบบนี้ทำได้ยากมาก ๆ เลยครับ เพราะสาเหตุของการแฮงค์ มีได้ร้อยแปดพันเก้า ต้องไล่ไปทีละจุดทีเดียว จนกว่าจะเจอต้นเหตุของปัญหานั้น ๆ จริง ๆ เอาเป็นว่า วันนี้ จะแนะนำสิ่งที่ควรทำในเบื้องต้นเท่านั้น ลองทำดูทีละขั้นตอนกันนะครับ
อย่าเพิ่งกดปุ่ม Reset หรือปิดเครื่องในทันที
เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์ หรือนิ่งค้างไม่ยอมรับการทำงานต่าง ๆ โดยปกติแล้ว อย่าพยายามกดปุ่ม Reset หรือปิดเครื่องในทันที เพราะการทำแบบนั้น อาจจะมีผลทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ ฮาร์ดดิสก์ มีปัญหาหรือเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น การปิดเครื่อง ควรจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะทำ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้แล้วจริง ๆ เท่านั้น
พยายามปิดโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ค้างอยู่
สิ่งแรกที่ควรทำ คือให้พยายามปิดโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่และเกิดการค้างขึ้นมา โดยวิธีการคือ ให้กดปุ่ม Ctrl + Alt + Del พร้อม ๆ กันทั้ง 3 ปุ่ม ซึ่งจะมีหน้าต่างเมนูของการ Close Program ขึ้นมา

ตรงนี้ หน้าตาอาจจะไม่เหมือนกับรูปตัวอย่างนี้นัก ขึ้นอยู่กับว่าในเครื่องนั้น มีการเรียกซอฟต์แวร์อะไรไว้บ้าง แต่หลักการของเมนูนี้คือ เราสามารถทำการเลือกปิดซอฟต์แวร์บางตัว (ที่มีปัญหาหรือค้างอยู่ขณะนั้น) ได้เลย โดยปกติ หากมีซอฟต์แวร์ที่มีปัญหาค้างอยู่ มักจะมีข้อความว่า Not Responding ต่อท้ายชื่อซอฟต์แวร์ตัวนั้น ๆ ด้วยเสมอ ก็ให้เลือกปิดไปเลยครับ (ถ้ายังสามารถปิดได้) โดยกดที่ปุ่ม End Task ซึ่งหากไม่มีปัญหาอะไรมาก จะสามารถปิดโปรแกรมนั้นได้ทันที และหลังจากนั้น ก็ควรที่จะสั่ง Restart Computer ใหม่สักครั้ง ก่อนที่จะใช้งานต่อไป
แต่ถ้าในขณะนั้น ไม่สามารถปิดซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้เลย เราจะทำอะไรได้บ้าง อย่างแรกคือ ให้ทำการทดลองสั่ง Shutdown โดยการกดที่ปุ่ม Shut Down ซึ่งเครื่องอาจจะรับหรือไม่รับก็ได้ ให้ทดลองดูก่อนครับ
ถ้ากดที่ Shut Down แล้วก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ ขั้นตอนต่อไปคือการกดปุ่ม Ctrl + Alt + Del พร้อม ๆ กันซ้ำอีกครั้ง ถ้าอ่านตามคำอธิบายด้านบนก็จะบอกว่า เป็นการ Restart Computer ใหม่ครับ
ในบางครั้ง เมื่อเราสั่ง Shutdown อาจจะมีเมนูขึ้นมาถามว่า ยังมีซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่ จะให้รอ (Wait) หรือปิดเครื่องไปเลย (Shut Down) เผื่อไว้ว่า บางครั้งเราอาจจะต้องการเวลาบ้าง เพื่อให้มีการ Close ซอฟต์แวร์ตัวนั้นจริง ๆ ตรงนี้ก็ให้เลือก Shut Down ไปเลยครับ


ทำไมต้องปิดซอฟต์แวร์เหล่านี้ก่อนด้วย
หลาย ๆ ท่านคงสงสัยสิครับ ว่าทำไมเราจึงต้องปิดซอฟต์แวร์เหล่านี้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ ความเป็นจริงแล้ว ถ้าเครื่องค้าง เราก็กดปุ่ม Reset หรือกดปุ่มปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่เลยก็ได้ ก็ขอแนะนำหลักการง่าย ๆ ครับว่า หากสามารถปิดเครื่องแบบปกติได้ เราควรจะทดลองทำดูก่อนครับ เพราะว่าถ้าเรามีการปิดเครื่องหรือ Shut Down ได้ จะเป็นการเคลียร์ข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้งานของฮาร์ดดิสก์ ให้เรียบร้อยก่อนการ Shut Down จริง ๆ ครับ และเมื่อเปิดเครื่องใหม่ ก็จะสามารถใช้งาน ต่อไปได้ตามปกติทันที (ถ้าหากไม่มีปัญหาทางฮาร์ดแวร์จริง ๆ)
จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่มีการ Shut Down ก่อนปิดสวิทช์ไฟ
ถ้าหากไม่สามารถทำการ Shut Down ได้ก่อนการปิดเครื่อง เมื่อเราเปิดเครื่องมาใหม่ในครั้งต่อ ๆ ไป Windows จะมีการตรวจสอบการทำงานของฮาร์ดดิสก์ก่อนเสมอ โดยการเรียกโปรแกรม Scandisk ขึ้นมาทำงาน เราสามารถข้าม ขั้นตอนนี้ไปได้โดยการกด Enter เพื่อออกจากการทำ Scandisk ได้เลย (แต่ปกติแล้ว ก็ควรจะรอให้เครื่อง Scandisk ให้เรียบร้อยจะดีกว่า) หรือในบางครั้ง หากมีปัญหาค่อนข้างมากจริง ๆ เราอาจจะเห็นเมนูให้เลือกเข้า Safe Mode ซึ่งควรที่จะเลือกเข้า Sefe Mode สักครั้งหนึ่งก่อน ถ้าหากเครื่องไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ ก็สั่ง Restart Windows ใหม่ ทุกอย่างก็จะกลับมาทำงานเป็นปกติเหมือนเดิมครับ
Blue Screen คืออะไร
หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินคำ ๆ นี้มาบ้างแล้ว ที่จริงแล้ว Blue Screen ก็คือการแฮงค์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งนั่นเอง แต่แทนที่จะมีอาการแบบ นิ่ง หรือค้างไปเฉย ๆ ที่หน้าจอ จะกลายเป็นสีฟ้า และมีตัวหนังสือบอกรายละเอียดต่าง ๆ (ที่อ่านไม่เห็นจะเข้าใจเลย) ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีข้อความบอกว่า ให้กดคีย์อะไรก็ได้ เพื่อทำงานต่อไป หรือกด Ctrl + Alt + Del เพื่อทำการ Restart Computer ถ้าหากเจอหน้าจอแบบนี้ ก็มีหลักการเดียวกันครับ คือกดลองกดปุ่มอะไรก็ได้ก่อน และพยายามทำการ Shut Down ให้ได้ แต่ถ้าหากไม่ได้จริง ๆ ก็กด Ctrl + Alt + Del เพื่อบูทเครื่องใหม่เลยครับ



Power Supply ของเคสรุ่นใหม่แบบ ATX
แถมท้ายสำหรับผู้ที่ใช้เครื่องที่มีระบบ Power Supply แบบ ATX ซึ่งจะใช้ซอฟต์แวร์ในการควบคุมสวิทช์ ปิด-เปิด ดังนั้นหากเครื่องแฮงค์ ในบางครั้งอาจจะไม่สามารถกดปิดเครื่องได้ ให้ทำการกดปุ่ม Power นั้นค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีครับ จะเป็นการสั่งให้เครื่องปิดได้ โดยไม่ต้องอาศัยซอฟต์แวร์มาช่วย
ปัญหาส่วนใหญ่ เกิดจากอะไรบ้าง
ส่วนใหญ่ของปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ค้างก็มีได้มากมาย แต่สาเหตุหลัก ๆ ก็ขอรวบรวมมาไว้ตรงนี้
1. การไม่เข้ากันของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นเมนบอร์ดกับการ์ดจอ หรือการ์ดเสียง
2. การต่อสายไฟ สายส่งข้อมูลต่าง ๆ หลวมหรือต่อไว้ไม่แน่นดีพอ
3. การเสียบแรม ขั้วต่อสาย หรือ การ์ด ต่าง ๆ หลวมหรือไม่แน่น
4. ความสกปรกของจุดสัมผัสของอุปกรณ์ เช่นขาของแรม ขั้วต่อของการ์ดต่าง ๆ ในเครื่อง
5. ฮาร์ดดิสก์ เริ่มมีปัญหา หรือใกล้จะเสีย
6. ระบบไฟ หรือระบบจ่ายไฟไม่ดีพอ เช่นไฟตกบ่อย ๆ หรือชุดจ่ายไฟไม่ดี
7. การลงโปรแกรมไม่สมบูรณ์ หรือมีปัญหากับซอฟต์แวร์บางตัว
8. ความร้อนของ ซีพียู พัดลมของ ซีพียู ตรวจสอบว่ายังทำงานได้ปกติหรือไม่
9. ก่อนที่จะเกิดปัญหา ได้มีการทำอะไรบ้าง เช่นลงโปรแกรมเพิ่ม หรือเพิ่มการ์ดในเครื่อง นั่นอาจจะเป็นสาเหตุหลักก็ได้

ความรู้เรื่อง Hard Disk

ความรู้เรื่อง Hard Disk

ความรู้เรื่อง Hard Disk
ลักษณะทั่วไป

ระบบฮาร์ดดิสค์แตกต่างกับแผ่นดิสเกตต์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีจำนวนหน้าสำหรับเก็บบันทึก ข้อมูลมากกว่าสองหน้า นอกจากระบบฮาร์ดดิสค์จะเก็บบันทึกข้อมูลเหมือนแผ่นดิสเกตต์ยังเป็นส่วน ที่ใช้ในการอ่านหรือเขียนบันทึกข้อมูลเหมือนช่องดิสค์ไดรฟ์
แผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสค์ จะมีความหนาแน่นของการจุข้อมูลบนผิวหน้าได้สูงกว่าแผ่น ดิสเกตต์มาก เช่น แผ่นดิสเกตต์มาตราฐานขนาด 5.25 นิ้ว ความจุ 360 กิโลไบต์ จะมีจำนวนวงรอบ บันทึกข้อมูลหรือเรียกว่า แทร็ก(track) อยู่ 40 แทร็ก กรณีของฮาร์ดดิสค์ขนาดเดียวกันจะมีจำนวน วงรอบสูงมากกว่า 1000 แทร็กขึ้นไป ขณะเดียวกันความจุในแต่ละแทร็กของฮาร์ดดิสค์ก็จะสูงกว่า ซึ่งประมาณได้ถึง 5 เท่าของความจุในแต่ละแทร็กของแผ่นดิสเกตต์
เนื่องจากความหนาแน่นของการบันทึกข้อมูลบนผิวแผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสค์สูงมาก ๆ ทำให้หัวอ่านและเขียนบันทึกมีขนาดเล็ก ตำแหน่งของหัวอ่านและเขียนบันทึกก็ต้องอยู่ในตำแหน่ง ที่ใกล้ชิดกับผิวหน้าจานมาก โอกาสที่ผิวหน้าและหัวอ่านเขียนอาจกระทบกันได้ ดังนั้นแผ่นจานแม่ เหล็กจึงควรเป็นแผ่นอะลูมิเนียมแข็ง แล้วฉาบด้วยสารแม่เหล็ก
ฮาร์ดดิสค์จะบรรจุอยู่ในกล่องโลหะปิดสนิท เพื่อป้องสิ่งสกปรกหลุดเข้าไปภายใน ซึ่งถ้าต้อง การเปิดออกจะต้องเปิดในห้องเรียก clean room ที่มีการกรองฝุ่นละออกจากอากาศเข้าไปในห้อง ออกแล้ว ฮาร์ดดิสค์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันเป็นแบบติดภายในเครื่องไม่เคลื่อนย้ายเหมือนแผ่นดิสเกตต์ ดิสค์ประเภทนี้อาจเรียกว่า ดิสค์วินเชสเตอร์(Winchester Disk)
ฮาร์ดดิสค์ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็ก(platters) สองแผ่นหรือมากกว่ามาจัด เรียงอยู่บนแกนเดียวกันเรียก Spindle ทำให้แผ่นแม่เหล็กหมุนไปพร้อม ๆ กัน จากการขับเคลื่อน ของมอเตอร์ด้วยความเร็ว 3600 รอบต่อนาที แต่ละหน้าของแผ่นจานจะมีหัวอ่านเขียนประจำเฉพาะ โดยหัวอ่านเขียนทุกหัวจะเชื่อมติดกันคล้ายหวี สามารถเคลื่อนเข้าออกระหว่างแทร็กต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว

จากรูปเป็นภาพตัดขวางของฮาร์ดดิสค์แสดงแผ่นจาน แกนหมุน Spindle หัวอ่านเขียน และก้านหัวอ่านเขียน

จากรูปแสดงฮาร์ดดิสค์ที่มีแผ่นจาน 2 แผ่น พร้อมการกำกับชื่อแผ่นและหน้าของดิสค์ ผิวของ แผ่นจานกับหัวอ่านเขียนจะอยู่เกือบชิดติดกัน คือห่างกันเพียงหนึ่งในแสนของนิ้ว และระยะห่างนี้ ในระหว่างแทร็กต่าง ๆ ควรสม่ำเสมอเท่ากัน ซึ่งกลไกของเครื่องและการประกอบฮาร์ดดิสค์ต้อง ละเอียดแม่นยำมาก การหมุนอย่างรวดเร็วของแผ่นจาน ทำให้หัวอ่านเขียนแยกห่างจากผิวจาน ด้วยแรงลมหมุนของจาน แต่ถ้าแผ่นจานไม่ได้หมุนหรือปิดเครื่อง หัวอ่านเขียนจะเลื่อนลงชิดกับ แผ่นจาน ดังนั้นเวลาเลิกจากการใช้งานเรานิยมเลื่อนหัวอ่านเขียนไปยังบริเวณที่ไม่ได้ใช้เก็บข้อมูล ที่เรียกว่า Landing Zone เพื่อว่าถ้าเกิดการกระแทรกของหัวอ่านเขียนและผิวหน้าแผ่นจานก็จะไม่มีผลต่อข้อมูลที่เก็บไว้
ฮารด์ดิกส์เป็นอุปกรณ์ที่รวมเอาองค์ประกอบ ทั้งกลไกการทำงาน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เข้าไว้ด้วยกัน แม้ว่าฮาร์ดดิสก์ นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อนที่สุด ในด้านอุปกรณ์ที่มีการเคลื่อนไหว แต่ในความเป็นจริงแล้วการอธิบายการทำงาน ของฮาร์ดดิสก์นั้นถือว่าได้ง่าย ภายในฮาร์ดดิสก์นั้นจะมีแผ่น Aluminum Alloy Platter หลายแผ่นหมุนอยู่ด้วยความเร็วสูง โดยจะมีจำนวนแผ่นขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อต่างกันไป เมื่อผู้ใช้ พิมพ์คำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน แขนกลของฮาร์ดดิสก์ จะรอบรับคำสั่งและเคลื่อนที่ ไปยังส่วนที่ถูกต้องของ Platter เมื่อถึงที่หมายก็จะทำการอ่านข้อมูลลงบนแผ่นดิสก์นั้น หัวอ่านจะอ่านข้อมูลแล้วส่งไปยัง ซีพียู จากนั้น ไม่นานข้อมูลที่ต้องการก็จะปรากฏ การทำงานเขียนอ่านข้อมูลของฮาร์ดดิกส์ จะมีการทำงาน คล้ายกับการทำงาน ของของเทปคาสเซ็ท แพล็ตเตอร์ของฮาร์ดดิสก์ นั้นจะเคลือบไปด้วยวัตถุจำพวกแม่เหล็ก ที่มีขนาดความหนา เพียง 2-3 ในล้านส่วนของนิ้ว แต่จะต่างจากเทปทั่วไปคือ ฮาร์ดดิสก์นั้นจะใช้หัวอ่านเพียง หัวเดียวในการทำงาน ทั้งอ่าน และเขียนข้อมูลบนฮาร์ดดิกส์ ส่วนเขียนข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์นั้นหัวอ่านจะได้ รับกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าสู่ คอยล์ของหัวอ่าน เพื่อสร้างรูปแบบแม่เหล็กบนสื่อ ที่เคลือบอยู่บนแพล็ตเตอร์ซึ่งเท่า กับเป็นการเขียนข้อมูลลงบน ฮาร์ดดิสก์ การอ่านนั้น ก็จะเป็นการแปลงสัญญาณรูปแบบแม่เหล็กที่ได้บันทึก อยู่บนฮาร์ดิสก์กลับแล้วเพิ่ม สัญญาณและทำการ ประมวลผล ให้กลับมาเป็นข้อมูลอีกครั้งอีก
จุดที่แตกต่าง กันของการเก็บข้อมูลระหว่าง ออดิโอเทปกับฮาร์ดดิสก์นั้นก็ คือเทปจะเก็บข้อมูลในรูปแบบของ สัญญาณ อนาล็อก แต่สำหรับฮาร์ดดิสก์นั้นจะ เก็บในรูป สัญญาณ ดิจิตอลโดยจะเก็บเป็นเลขฐานสองคือ 0 และ 1 ฮาร์ดดิสก์ จะเก็บข้อมูลไว้ใน Track หรือ เส้นวงกลม โดยจะเริ่มเก็บข้อมูลที่ด้านนอกสุด ของฮาร์ดดิสก์ก่อน จากนั้นจึงไล่เข้ามาด้านในสุด โดยฮาร์ดดิสก์ จะเป็นอุปกรณ์ที่สามารถสุ่มเข้าถึงข้อมูลได้ คือการที่หัวอ่าน สามารถเคลื่อนที่ ไปอ่านข้อมูลบนจุดใดของ ฮาร์ดดิสก์ก็ได้ ไม่เหมือนกับเทปเพลงที่หากจะต้องการฟังเพลง ถัดไปเราก็ต้องกรอเทป ไปยังจุดเริ่มต้นของเพลงนั้น หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ นั้นสามารถบินอยู่เหนือพื้นที่จัดเก็บ ข้อมูลทันทีที่ได้รับตำแหน่งมาจากซีพียู ซึ่งการเข้า ถึงข้อมูลแบบสุ่มนี้เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ฮาร์ดดิสก์ สามารถแทนที่เทปในการเก็บข้อมูลหลักของคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์นั้นสามารถ เก็บข้อมูลได้ทั้ง 2 ด้านของ แพล็ตเตอร์ ถ้าหัวอ่านเขียนนั้นอยู่ทั้ง 2 ด้าน ดังนั้นฮาร์ดดิสก์ที่ มีแพล็ตเตอร์ 2 แผ่นนั้นสามารถมีพื้นที่ในการ เก็บข้อมูลได้ถึง 4 ด้าน และมีหัวอ่านเขียน 4 หัวการเคลื่อนที่ของ หัวอ่านเขียนนี้จะมีการเคลื่อนที่ไปพร้อม ๆ กันโดยจะมีการเคลื่อนที่ที่ตรงกัน Track วงกลมนั้นจะถูกแบ่งออก เป็นหน่วยย่อย ๆ เรียกว่า Sector การเขียนข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์นั้นจะเริ่มเขียนจากรอบนอกสุด ของฮาร์ดดิสก์ก่อน จากนั้นเมื่อข้อมูลใน Track นอกสุดถูกเขียนจนเต็มหัวอ่านก็จะเคลื่อนมายังแทร็กถัดมา ที่ว่างแล้วทำการเขียน ข้อมูลต่อไป ซึ่งก็ด้วยวิธีการนี้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงเป็นอย่างมากเพราะหัวอ่านเขียนสามารถบันทึกข้อ มูลได้มากกว่า ในตำแหน่งหนึ่งก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปยังแทร็คถัดไป
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีฮาร์ดดิสก์แบบ 4 แพล็ตเตอร์อยู่และหัวอ่านเขียนอยู่ที่แทร็ค 15 ไดร์ฟจะเขียนข้อมูลลงในแทร็ค 15 บนทั้ง 2 ด้านของ แพล็ตเตอร์ ทั้ง 4 จนเต็มจากนั้นจึงเคลื่อนเข้าไปหาที่แทร็ค 16 ต่อไป การหมุนของแพล็ตเตอร์นั้นนับได้ว่า เร็วมาก ความเร็วต่ำ สุดก็เท่ากับ 3,600 รอบต่อนาที และปัจจุบันสูงสุดนับหมื่นรอบ ซึ่งเป็นการทำงานที่เร็วกว่า ฟล็อบปี้ดิสก์หรือเทปมาก ด้วยความเร็วขนาดนี้ทำให้หัวอ่านเขียนขนาดเล็กสามารถลอยหรือบินอยู่เหนือพื้น ผิวได้หัวอ่านเขียนนั้นได้รับการ ออกแบบให้บินอยู่เหนือแผ่นแพล็ตเตอร์ที่กำลังหมุนอยู่ด้วยความเร็วสูงนี้ ในความสูงเพียง 3 ล้านส่วนของนิ้ว ซึ่ง เท่ากับว่าระยะห่างระหว่างหัวอ่านเขียนและแพล็ตเตอร์นั้นมีขนาดเล็ก กว่าเส้นผมของคนเราหรือแม้กระทั่งฝุ่นมาก หากเกิดการกระแทก อย่างรุนแรงขึ้นกับฮาร์ดดิสก์จนทำให้ หัวอ่านเขียนสัมผัสกับแผ่นแพล็ตเตอร์ก็จะทำให้พื้นผิว หรือหัวอ่านเขียน เกิดการเสียหาย ซึ่งส่งผลให้เกิด ปัญหาข้อมูลเสียหาย หรือถ้าโชคร้ายก็คือฮาร์ดดิสก์พังอย่างแก้ไข ไม่ได้ อย่างไรก็ตามปัญหานี้มักจะไม่เกิด กับฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีการ ผลิตที่สูงขึ้นและได้รับการป้องกัน เป็นอย่างดีโดยถูกสร้าง ให้สามารถ รับแรงกระแทกได้สูงถึง 70-100 เท่าของ แรงดึงดูด (70-100G)
การจัดเรียงข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์
การจัดเรียงข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์นั้นมีลักษณะเดียวกับแผนที่ ข้อมูลจะถูกจักเก็บไว้ในแทร็คบนแพล็ตเตอร์ ดิสก์ไดร์ฟทั่ว ๆ ไปจะมีแทร็คประมาณ 2,000 แทร็คต่อนิ้ว (TPI) Cylinder จะหมายถึงกลุ่มของ Track ที่อยู่ บริเวณหัวอ่านเขียนบนทุก ๆ แพล็ตเตอร์ ในการเข้าอ่านข้อมูลนั้นแต่ละแทร็คจะถูกแบ่งออกเป็นหน่วยย่อย ๆ เรียกว่า Sector กระบวนการในการจัดการดิสก์ ให้มีแทร็ค และเซกเตอร์เรียกว่า การฟอร์แมต ฮาร์ดดิสก์ ในปัจบันส่วนใหญ่จะได้รับการฟอร์แมตมาจากโรงงานเรียบร้อยแล้ว ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยปกติ เซกเตอร์ จะมีขนาด เท่ากับ 512 ไบต์ คอมพิวเตอร์จะใช้ข้อมูลที่ได้รับการฟอร์แมตนี้ เหมือนกับที่นักท่องเที่ยวใช้แผนที่ ในการเดินทาง คือใช้ระบุว่าข้อมูลใดอยู่ที่ตำแหน่งใดบนฮาร์ดดิสก์ ดังนั้นหากฮาร์ดดิสก์ ไม่ได้รับการฟอร์แมต เครื่องคอมพิวเตอร์ จะก็ไม่รู้ว่าข้อมูลถูกเก็บไว้ที่ใด และจะนำข้อมูลมาได้จากที่ไหนในการออกแบบฮาร์ดดิสก์ แบบเก่านั้นจำนวน เซกเตอร์ต่อแทร็กจะถูกกำหนดตายตัว เนื่องจากพื้นที่แทร็คบริเวณขอบนอกนั้นมีขนาด ใหญ่กว่าบริเวณขอบใน ของฮาร์ดดิสก์ ดังนั้นพื้นที่สิ้นเปลืองของแทร็คด้านนอกจึงมีมากกว่า แต่ในปัจจุบัน ได้มีการใช้เทคนิคการฟอร์แมต รูปแบบใหม่ที่ เรียกว่า Multiple Zone Recording เพื่อบีบข้อมูลได้มากขึ้น ในการนำมาจัดเก็บบนฮาร์ดดิสก์ได้ Multiple Zone Recording จะอนุญาตให้พื้นที่แทร็คด้านนอก สามารถ ปรับจำนวนคลัสเตอร์ได้ทำให้พื้นที่แทร็ค ด้านนอกสุดมีจำนวนเซกเตอร์มากว่า ด้านในและด้วยการแบ่งให้พื้น ที่แทร็คด้านนอกสุดมีจำนวนเซกเตอร์มากว่าด้านในนี้ ข้อมูลสามารถจัดเก็บได้ตลอดทั้งฮาร์ดดิสก์ ทำให้มีการใช้เนื้อที่บนแพล็ตเตอร์ได้อย่างคุ้มค่า และเป็นการ เพิ่มความจุโดย ใช้จำนวนแพล็ตเตอร์น้อยลงจำนวนของเซกเตอร์ต่อแทร็ค ในดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วแบบปกติจะมีอยู่ ประมาณ 60 ถึง 120 เซกเตอร์ภายใต้การจัดเก็บแบบ Multiple Zone Recording
การทำงานของหัวอ่านเขียน
หัวอ่านเขียนของฮาร์ดดิสก์นับเป็นชิ้นส่วนที่มีราคาแพงที่สุด และลักษณะของมัน ก็มีผลกระทบอย่างยิ่งกับ ประสิทธิภาพ ของฮาร์ดดิสก์โดยรวม หัวอ่านเขียนจะเป็นอุปกรณ์แม่เหล็ก มีรูปร่างคล้าย ๆ ตัว “C” โดยมีช่อง ว่างอยู่เล็กน้อย โดยจะมีเส้นคอยล์ พันอยู่รอบหัวอ่านเขียนนี้เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า การเขียนข้อมูล จะใช้ วิธีการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านคอยล์ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ของสนามแม่เหล็กซึ่งจะส่งผลให้เกิด ความเปลี่ยนแปลงที่แพล็ตเตอร์ ส่วนการอ่านข้อมูลนั้น จะรับค่าความเปลี่ยนแปลง ของสนามแม่เหล็กผ่าน คอยล์ที่อยู่ที่หัวอ่าน เขียนแล้วแปลงค่าที่ได้เป็น สัญญาณส่งไปยังซีพียู ต่อไปเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปความ หนาแน่นของข้อมูลก็ยิ่ง เพิ่มขึ้นในขณะที่เนื้อที่สำหรับเก็บข้อมูลก็จะลดขนาดลง ขนาดบิตของข้อมูลที่เล็กนี้ ทำให้สัญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว ส่งไปยังหัวอ่านนั้นอ่อนลง และอ่านได้ยากขึ้น ด้วเหตุนี้ทางผู้พัฒนาจึงจำเป็น ต้องวางหัวอ่านให้กับสื่อมากขึ้นเพื่อ ลดการสูญเสียสัญญาณ จากเดิมในปี 1973 ที่หัวอ่านเขียนบินอยู่ห่างสื่อ ประมาณ 17 microinch (ล้านส่วนของนิ้ว) มาในปัจจุบันนี้หัวอ่านเขียน บินอยู่เหนือแผ่นแพล็ตเตอร์เพียง 3 microinch เท่านั้น เหมือนกับการนำเครื่องบิน โบอิ้ง 747 มาบินด้วยความเร็วสูงสุด โดยให้บินห่างพื้นเพียง 1 ฟุต แต่ที่สำคัญก็คือหัวอ่านเขียนนั้นไม่เคยสัมผัส กับแผ่นแพล็ตเตอร์ ที่กำลังหมุนอยู่เลยเมื่อเครื่อง คอมพิวเตอร์ถูกปิด ฮาร์ดดิสก์จะหยุดหมุนแล้วหัวอ่านเขียนจะ เคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย และหยุดอยู่ตรงนั้น ซึ่งแยกอยู่ต่างหากจากพื้นที่ที่ใช้เก็บข้อมูล
Seek Time
คือระยะเวลาที่แขนยืดหัวอ่านเขียนฮาร์ดดิสก์ เคลื่อนย้ายหัวอ่านเขียนไประหว่างแทร็คของข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ ซึ่งในปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ จะมีแทร็คข้อมูลอยู่ประมาณ 3,000 แทร็คในแต่ละด้านของแพล็ตเตอร์ ขนาด 3.5 นิ้ว ความสามารถในการเคลื่อนที่ จากแทร็คที่อยู่ไปยังข้อมูลในบิตต่อ ๆ ไป อาจเป็นการย้ายตำแหน่งไปเพียง อีกแทร็คเดียวหรืออาจย้ายตำแหน่งไปมากกว่า 2,999 แทร็คก็เป็นได้ Seek time จะวัดโดยใช้หน่วยเวลาเป็น มิลลิเซก (ms) ค่าของ Seek time ของการย้ายตำแหน่งของแขนยึดหัวอ่านเขียน ไปในแทร็คถัด ๆ ไปในแทร็คที่ อยู่ติด ๆ กันอาจใช้เวลาเพียง 2 ms ในขณะที่การย้ายตำแหน่งจากแทร็คที่อยู่นอกสุดไปหาแทร็คที่อยู่ในสุด หรือ ตรงกันข้ามจะต้องใช้เวลามากถึงประมาณ 20 ms ส่วน Average seek time จะเป็นค่าระยะเวลาเฉลี่ย ในการย้ายตำแหน่ง ของหัวเขียนอ่านไปมาแบบสุ่ม (Random) ในปัจจุบันค่า Average seek time ของ ฮาร์ดดิสก์จะอยู่ ในช่วงตั้งแต่ 8 ถึง 14 ms แม้ว่าค่า seek จะระบุเฉพาะคุณสมบัติในการทำงานเพียง ด้านกว้างและยาวของ แผ่นดิสก์ แต่ค่า Seek time มักจะถูกใช้ในการเปรียบเทียบ คุณสมบัติทางด้านความ เร็วของฮาร์ดดิสก์เสมอ ปกติ แล้วมักมีการเรียกรุ่นของฮาร์ดดิสก์ตามระดับความเร็ว Seek time ของตัว ฮาร์ดดิสก์เอง เช่นมีการเรียกฮาร์ดดิสก์ ที่มี Seek time 14 ms ว่า “ฮาร์ดดิสก์ 14 ms” ซึ่งก็แสดงให้ทราบว่า ฮาร์ดดิสก์รุ่นนั้น ๆ มีความเร็วของ Seek time ที่ 14 ms อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการใช้ค่าความเร็ว Seek time กำหนดระดับชั้นของฮาร์ดดิสก์จะสะดวก แต่ค่า Seek time ก็ยังไม่สามารถแสดงให้ประสิทธิภาพทั้งหมด ของฮาร์ดดิสก์ได้ จะแสดงให้เห็นเพียงแต่การค้นหาข้อมูลในแบบสุ่ม ของตัวไดร์ฟเท่านั้น ไม่ได้แสดงในแง่ของ การอ่านข้อมูลแบบเรียงลำดับ (sequential) ดังนั้น ให้ใช้ค่า seek time เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ในการตัดสิน ประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์เท่านั้น
Head Switch Time
เป็นเวลาสลับการทำงาของหัวอ่านเขียน แขนยึดหัวอ่านเขียนจะเคลื่อนย้ายหัวอ่านเขียนไปบนแพล็ตเตอร์ ที่อยู่ในแนวตรงกัน อย่างไรก็ตามหัวอ่านเขียนเพียงหัวเดียวเท่านั้นที่อ่านหรือบันทึกข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ระยะเวลา ในการสลับกันทำงาน ของหัวอ่านเขียนจะวัดด้วยเวลาเฉลี่ยที่ตัวไดร์ฟใช้สลับ ระหว่างหัวอ่านเขียน สองหัวในขณะ อ่านบันทึกข้อมูล เวลาสลับหัวอ่านเขียนจะวัดด้วยหน่วย ms
Cylinder Switch Time
เวลาในการสลับไซลินเดอร์ สามารถเรียกได้อีกแบบว่าการสลับแทร็ค (track switch) ในกรณีนี้แขนยึดหัวอ่านเขียน จะวางตำแหน่งของหัวอ่านเขียนอยู่เหนือไซลินเดอร์ข้อมูลอื่น ๆ แต่มีข้อแม้ว่า แทร็คข้อมูลทั้งหมดจะต้องอยู่ใน ตำแหน่งเดียวกันของแพล็ตเตอร์อื่น ๆ ด้วย เวลาในการสลับระหว่าง ไซลินเดอร์จะวัดด้วยระยะเวลาเฉลี่ยที่ตัว ไดร์ฟใช้ในการสลับจากไซลินเดอร์หนึ่งไปยัง ไซลินเดอร์อื่น ๆ เวลาในการสลับไซลินเดอร์จะวัดด้วยหน่วย ms
Rotational Latency
เป็นช่วงเวลาในการอคอยการหมุนของแผ่นดิสก์ภายใน การหมุนภายในฮาร์ดดิสก์จะเกิดขึ้นเมื่อหัวอ่าน เขียนวางตำแหน่ง อยู่เหนือแทร็คข้อมูลที่เหมาะสมระบบการทำงาน ของหัวอ่านเขียนข้อมูลจะรอให้ตัวไดร์ฟ หมุนแพล็ตเตอร์ไปยังเซ็กเตอร์ที่ถูกต้อง ช่วงระยะเวลาที่รอคอยนี้เองที่ถูกเรียกว่า Rotational Latency ซึ่งจะวัด ด้วยหน่วย ms เช่นเดียวกัน แต่ระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับ RPM (จำนวนรอบต่อนาที) ด้วยเช่นกัน
รู้จักกับ ฮาร์ดดิสก์ และมาตราฐานของการเชื่อมต่อ แบบต่าง ๆ
ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีเปลือกนอก เป็นโลหะแข็ง และมีแผงวงจรสำหรับการควบคุมการทำงานประกบอยู่ที่ด้านล่าง พร้อมกับช่องเสียบสายสัญญาณและสายไฟเลี้ยง ส่วนประกอบภายในจะถูกปิดผนึกไว้อย่างมิดชิด โดยจะเป็นแผ่นดิสก์และหัวอ่านที่บอบบางมาก และไม่ค่อยจะทนต่อการกระทบ กระเทือนได้ ดังนั้น จึงควรที่จะระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เวลาจัดถือไม่ควรให้กระแทกหรือกระเทือน และระมัดระวังไม่ให้มือโดน อุปกรณ์อื่น ๆ ที่อยู่บนแผงวงจร โดยปกติ ฮาร์ดดิสก์ มักจะบรรจุอยู่ในช่องที่เตรียมไว้เฉพาะภายในเครื่อง โดยจะมีการต่อสาย สัญญาณเข้ากับตัวควบคุมฮาร์ดดิสก์ และสายไฟเลี้ยงที่มาจากแหล่งจ่ายไฟด้วยเสมอ ในที่นี้ จะขอแนะนำให้รู้จักกับ ฮาร์ดดิสก์ แบบต่าง ๆ ในเบื้องต้น พอเป็นพื้นฐานในการทำความรู้จักและเลือกซื้อมาใช้งานกัน
ชนิดของ ฮาร์ดดิสก์ แบ่งตามอินเตอร์เฟสที่ต่อใช้งาน
ปัจจุบันนี้ ฮาร์ดดิสก์ที่มีใช้งานทั่วไป จะมีระบบการต่อใช้งานแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ EIDE (Enhanced Integrated Drive Electronics) กับ SCSI (Small Computer System Interface) ซึ่งฮาร์ดดิสก์ทั่ว ๆ ไปที่ใช้งานกันตาม เครื่องคอมพิวเตอร์ตามบ้าน มักจะเป็นการต่อแบบ EIDE ทั้งนั้น ส่วนระบบ SCSI จะมีความเร็วของการรับส่ง ข้อมูลที่เร็วกว่า แต่ราคาของฮาร์ดดิสก์จะแพงกว่ามาก จึงนิยมใช้กันในเครื่อง Server เท่านั้น
EIDE หรือ Enhance IDE เป็นระบบของ ฮาร์ดดิสก์อินเตอร์เฟสที่ใช้กันมากในปัจจุบันนี้ การต่อไดร์ฟฮาร์ดดิสก์แบบ IDE จะต่อผ่าน สายแพรและคอนเน็คเตอร์จำนวน 40 ขาที่มีอยู่บนเมนบอร์ด ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของการต่อแบบนี้คือ AT Attachment หรือ ATA ต่อมาได้มีการพัฒนาไปเป็นแบบย่อยอื่น ๆ เช่น ATA-2, ATAPI, EIDE, Fast ATA ตลอดจน ATA-33 และ ATA-66 ในปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากเป็นแบบ ATA-66 แล้วสายแพรสำหรับรับส่งสัญญาณ จะต้องเป็นสายแพรแบบที่รองรับการทำงานนั้นด้วย จะเป็นสายแพรที่มีสายข้างใน 80 เส้นแทนครับ ส่วนใหญ่แล้วใน 1 คอนเน็คเตอร์ จะสามารถต่อฮาร์ดดิสก์ได้ 2 ตัวและบนเมนบอร์ด จะมีคอนเน็คเตอร์ให้ 2 ชุด ดังนั้น เราสามารถต่อฮาร์ดดิสก์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เช่นซีดีรอมไดร์ฟ ได้สูงสุด 4 ตัวต่อคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง
วิธีการรับส่งข้อมูลของฮาร์ดดิสก์แบบ EIDE ยังแบ่งออกเป็นหลาย ๆ แบบ ในสมัยเริ่มต้น จะเป็นแบบ PIO (Programmed Input Output) ซึ่งเป็นการรับส่งข้อมูลโดยผ่านซีพียู คือรับข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ เข้ามายังซีพียู หรือส่งข้อมูลจากซีพียูไปยัง ฮาร์ดดิสก์ การรับส่งข้อมูลแบบ PIO นี้ยังมีการทำงานแยกออกไปหลายโหมด โดยจะมีความเร็วในกรรับส่งข้อมูลต่าง ๆ กันไป ดังตารางต่อไปนี้
PIO mode
อัตราการรับส่งข้อมูล (MB./sec)
อินเตอร์เฟส

0
3.3
ATA

1
5.2
ATA

2
8.3
ATA

3
11.1
ATA-2

4
16.6
ATA-2

การรับส่งข้อมูลระหว่าง ฮาร์ดดิสก์ กับเครื่องคอมพิวเตอร์อีกแบบหนึ่ง เรียกว่า DMA (Direct Memory Access) คือทำการ รับส่งข้อมูลระหว่างฮาร์ดดิสก์ กับหน่วยความจำโดยไม่ผ่านซีพียู ซึ่งจะกินเวลาในการทำงานของซีพียูน้อยลง แต่ได้อัตราการรับส่ง ข้อมูลพอ ๆ กับ PIO mode 4 และยังแยกการทำงานเป็นหลายโหมดเช่นเดียวกันการรับส่งข้อมูลทาง PIO โดยมีอัตราการรับส่ง ข้อมูลดังตารางต่อไปนี้
หัวข้อ
DMA mode
อัตราการรับส่งข้อมูล (MB./sec)
อินเตอร์เฟส

Single Word
0
2.1
ATA


1
4.2
ATA


2
8.3
ATA

Multi Word
0
4.2
ATA


1
13.3
ATA-2


2
16.6
ATA-2

ฮาร์ดดิสก์ตัวหนึ่งอาจเลือกใช้การรับส่งข้อมูลได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคือ ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้นั้นสนับสนุนการทำงานแบบใดบ้าง ชิปเซ็ตและ BIOS ของเมนบอร์ดต้องสนับสนุนการทำงานในแบบต่าง ๆ และอย่างสุดท้านคือ ระบบปฏิบัติการบางตัว จะมีความสามารถเปลี่ยนหรือเลือกวิธีการรับส่งข้อมูลในแบบต่าง ๆ ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น Windows NT, Windows 98 หรือ UNIX เป็นต้น
ถัดจาก EIDE ในปัจจุบันก็มีการพัฒนามาตราฐานการอินเตอร์เฟส ที่มีความเร็วสูงยิ่งขึ้นไปอีก คือแบบ Ultra DMA/2 หรือเรียกว่า ATA-33 (บางทีเรียก ATA-4) ซึ่งเพิ่มความเร็วขึ้นไป 2 เท่าเป็น 33 MHz และแบบ Ultra DMA/4 หรือ ATA-66 (หรือ ATA-5) ซึ่งกำลังเป็นมาตราฐานอยู่ในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
DMA mode
อัตราการรับส่งข้อมูล (MB./sec)
อินเตอร์เฟส

Ultra DMA/2
(UDMA2 หรือ UDMA/33)
33.3
ATA-33 (ATA-4)

Ultra DMA/4
(UDMA4 หรือ UDMA/66)
66.6
ATA-66 (ATA-5)

นอกจากนี้ ปัจจุบันเริ่มจะเห็น ATA-100 กันบ้างแล้วในฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ ๆ บางยี่ห้อ
SCSI เป็นอินเตอร์เฟสที่แตกต่างจากอินเตอร์เฟสแบบอื่น ๆ มาก ความจริงแล้ว SCSI ไม่ได้เป็น อินเตอร์เฟสสำหรับ ฮาร์ดดิสก์ โดยเฉพาะ ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดได้แก่ อุปกรณ์ที่จะนำมาต่อกับอินเตอร์เฟสแบบนี้ จะต้องเป็นอุปกรณ์ที่มีความฉลาดหรือ Intelligent พอสมควร (มักจะต้องมีซีพียู หรือหน่วยความจำของตนเองในระดับหนึ่ง) โดยทั่วไป การ์ดแบบ SCSI จะสามารถต่อ อุปกรณ์ได้ 7 ตัว แต่การ์ด SCSI บางรุ่นอาจต่ออุปกรณ์ได้ถึง 14 ตัว (SCSI-2) ในทางทฤษฎีแล้ว เราสามารถนำอุปกรณ์หลายชนิด มาต่อเข้าด้วยกันผ่าน SCSI ได้เช่น ฮาร์ดดิสก์ เทปไดร์ฟ ออปติคัลดิสก์ เลเซอร์พรินเตอร์ หรือแม้กระทั่งเมาส์ ถ้าอุปกรณ์เหล่านั้น มีอินเตอร์เฟสที่เหมาะสม มาดูความเร็วของการรับส่งข้อมูลของ SCSI แบบต่าง ๆ กันดีกว่า
หัวข้อ
SCSI
Fast
Wide
Fast
Wide
Ultra
Ultra
Wide
Ultra 2
Ultra 3
(Ultra160)

บัสข้อมูล (บิต)
8
8
19
16
32
16
32
16
32

ความถี่ (MHz)
5
10
5
10
10
20
20
40
40

รับส่งข้อมูล (MB/s)
5
10
10
20
40
40
80
80
160

คอนเน็คเตอร์
SCSI-1
SCSI-2
SCSI-2
SCSI-2
SCSI-2
SCSI-3
SCSI-3
SCSI-3
SCSI-3

ประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
ความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น ความเร็งในการหมุน กลไกภายใน ความจุข้อมูล ชนิดของ คอนโทรลเลอร์ ขนาดของบัฟเฟอร์ และระบบการเชื่อต่อที่ใช้เป็นต้น ฮาร์ดดิสก์ที่มีกลไกที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดก็ได้
ความเร็วในการหมุนของฮาร์ดดิสก์
ความเร็วในการหมุนของดิสก์ เป็นสิ่งที่มีผลกับความเร็วในการอ่านและบันทึกข้อมูลมากทีเดียว ฮาร์ดดิสก์ทั่วไป ถ้าเป็นรุ่นธรรมดา จะหมุนอยู่ที่ประมาณ 5,400 รอบต่อนาที (rpm) ส่วนรุ่นที่เร็วหน่อยก็จะเพิ่มเป็น 7,200 รอบต่อนาที ซึ่งถือเป็นมาตราฐาน อยู่ในขณะนี้ และถ้าเป็นรุ่นใหญ่หรือพวก SCSI ในปัจจุบันก็อาจถึง 10,000 รอบหรือมากกว่านั้น ฮาร์ดดิสก์ที่หมุนเร็ว ก็จะสามารถ อ่านข้อมูลในแต่ละเซ็คเตอร์ได้เร็วกว่าตามไปด้วย ทำให้ความเร็วการรับส่งข้อมูลภายใน มีค่าสูงกว่า ฮาร์ดดิสกที่หมุนมากรอบกว่า ก็อาจมีเสียงดัง ร้อน และสึกหรอมากกว่า แต่โดยรวมทั่วไปแล้ว หากราคาไม่เป็นข้อจำกัด ก็ควรเลือกฮาร์ดดิสก์ที่หมุนเร็ว ๆ ไว้ก่อน
อินเตอร์เฟสของฮาร์ดดิสก์
ดังที่อธิบายแล้วว่า ฮาร์ดดิสก์อินเตอร์เฟสที่นิยมใช้งานกันมากที่สุดสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้แก่ แบบ ATA-33 และ ATA-66 ซึ่งมีอัตราการรับส่งข้อมูลที่สูงกว่าแบบเก่า หากต้องการอัตราการรับส่งข้อมูลที่เร็วกว่านี้ ก็ต้องเลือกอินเตอร์เฟสแบบ SCSI ซึ่งจะมีข้อดีคือ มีความเร็วสูงกว่าแบบ EIDE มากและยังสามารถต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ถึง 7 ตัวด้วยกัน โดยที่ราคาก็ยังคงจะ แพงกว่าแบบ EIDE ด้วย จะเหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้ความเร็วสูงเช่น Server ของระบบ LAN เป็นต้น
ประเด็นสำคัญของการต่อฮาร์ดดิสก์แบบ IDE ก็คือ แต่ละสายที่ต่อออกมานั้น ตามปกติจะต่อได้ 2 ไดร์ฟ โดยฮาร์ดดิสก์ ที่อยู่บนสาย คนละเส้นจะทำงานพร้อมกันได้ แต่ถ้าอยู่บนสายเส้นเดียวกันจะต้องทำทีละตัว คือไม่ทำงานกับ Master ก็ Slave ตัวเดียวเท่านั้น ในเวลาหนึ่ง ๆ และหากเป็นอุปกรณ์ที่ทำการรับส่งข้อมูลคนละแบบบนสายเดียวกัน เช่นการต่อฮาร์ดดิสก์แบบ UltraDMA/66 ร่วมกับซีดีรอมแบบ PIO mode 4 อุปกรณ์ทุกตัวบนสายเส้นนั้น ก็จะต้องทำตามแบบที่ช้ากว่า ดังนั้น จึงไม่ควรต่อฮาร์ดดิสก์ที่เร็ว ๆ ไว้กับซีดีรอมบนสายเส้นเดียวกัน เพราะจะทำให้ฮาร์ดดิสก์ช้าลงตามไปด้วย
หน่วยความจำ แคช หรือ บัฟเฟอร์ ที่ใช้
อีกวิธีที่ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ ใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน คือการใช้หน่วยความจำแคช หรือบัฟเฟอร์ (Buffer) เพื่อเป็นที่พักข้อมูลก่อนที่จะส่งไปยัง คอมโทรลเลอร์บนการ์ด หรือเมนบอร์ด แคชที่ว่านี้จะทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์ โดยในกรณีอ่านข้อมูล ก็จะอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ ในส่วนที่คาดว่าจะถูกใช้งานต่อไปมาเก็บไว้ล่วงหน้า ส่วนในกรณีบันทึกข้อมูล ก็จะรับข้อมูลมาก่อนเพื่อเตรียมที่จะเขียนลงไปทันที ที่ฮาร์ดดิสก์ว่าง แต่ทั้งหมดนี้จะทำอยู่ภายในตัวฮาร์ดดิสก์เอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับซีพียูหรือแรมแต่อย่างใด
หน่วยความจำหรือแคชนี้ ในฮาร์ดดิสก์รุ่นราคาถูกจะมีขนาดเล็ก เช่น 128KB หรือบางยี่ห้อก็จะมีขนาด 256-512KB แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ราคาสูงขึ้นมา จะมีการเพิ่มจำนวนหน่วยความจำนี้ไปจนถึง 2MB เลยทีเดียว ซึ่งจากการทดสอบพบว่า มีส่วนช่วย ให้การทำงานกับฮาร์ดดิสก์นั้นเร็วขึ้นมาก ถึงแม้กลไกการทำงานของฮาร์ดดิสก์รุ่นนั้น ๆ จะช้ากว่าก็ตาม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงานของโปรแกรมด้วย
ปัจจัยอื่น ๆ ในการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์
หลังจากที่ได้พอจะรู้จักกับฮาร์ดดิสก์แบบต่าง ๆ กันแล้ว หากต้องการซื้อฮาร์ดดิสก์ที่จะนำมาใช้งานสักตัว ปัจจัยต่าง ๆ ด้านบนนี้ น่าจะเป็นตัวหลักในการกำหนดรุ่นและยี่ห้อของฮาร์ดดิสก์ที่จะซื้อได้ แต่ทั้งนี้ ไม่ควรที่จะมองข้ามปัจจัยอื่น ๆ เหล่านี้ไปด้วย
ความจุของข้อมูล
ยิ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมาก ราคาก็จะแพงขึ้นไป เลือกให้พอดีกับความต้องการแต่ไปเน้นเรื่องความเร็วดีกว่าครับ เช่นหากมีขนาด 15G 7,200 rpm กับ 20G 5,400 rpm ที่ราคาใกล้เคียงกัน ผมมอลว่าน่าจะเลือกตัว 15G 7,200 rpm ดีกว่า
ความทนทานและการรับประกัน
อย่าลืมว่า ฮาร์ดดิสก์ เป็นอุปกรณ์ที่ต้องทำงานตลอดเวลา มีการเคลื่อนไหวต่าง ๆ มากมายอยู่ภายในและโอกาสที่จะเสียหายมีได้มาก โดยเฉพาะเรื่องของความร้อนและการระบายความร้อนที่ไม่ดีในเครื่อง ก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียหาย นอกจากนี้ การเกิด แรงกระแทกแรง ๆ ก็เป็นสาเหตุหลักของ การเสียหายที่พบได้บ่อย ดังนั้น ปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญในการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ คือ เรื่องระยะเวลาในการรับประกันสินค้า และระยะเวลาในการส่งเคลม ว่าจะช้าหรือเร็วกว่าจะได้ของกลับคืนมาใช้งาน รวมทั้งร้านค้า ที่เราไปซื้อด้วย ที่ในบางครั้ง เวลาซื้อสินค้า จะบอกว่าเปลี่ยนได้ เคลมเร็ว แต่เวลาที่มีปัญหาจริง ๆ ก็จะไม่ค่อยยอมเปลี่ยนสินค้าให้เราแบบง่าย ๆ
เท่าที่เคยได้ยินมา ส่วนมากจะนิยมซื้อยี่ห้อ Quantum, IBM, Maxtor กันครับ ทั้งนี้ก็คงจะขึ้นอยู่กับราคา ความร้อน เสียง ความเร็ว และความชอบของแต่ละคนกันครับ ที่สำคัญคือเรื่องของความเร็วต่าง ๆ ก็เลือกกันให้ดีนะครั

การปรับแต่ง Task Bar

การปรับแต่ง Task Bar

การปรับแต่ง Task Bar
ส่วนของ Task Bar ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงการทำงานของระบบ ซึ่งเราสามารถที่จะทำการปรับแต่งให้ทำงานหรือแสดงผลตามที่เราต้องการได้ เช่นการให้ Task Bar ซ่อนตัวเองในขณะที่ไม่ใช้งาน การเพิ่มหรือลบรายการออกจากเมนู Start การลบข้อมูลใน Document เป็นต้น
Task Bar Properties



Taskbar Option

Always on top ให้แสดงอยู่ด้านบนหน้าต่างอื่นๆ เสมอ
Auto hide ให้ทำการซ่อน Task Bar เมื่อไม่ได้เรียกใช้งาน
Show small icon in Start menu แสดง Icon ของรายการในเมนู Start เป็นขนาดเล็ก
Show clock ให้แสดงเวลาบน Task Bar
รายการต่างๆ ที่ปรากฏสามารถเลือกใช้หรือไม่เลือกใช้ก็ได้ ถ้าต้องการใช้งานคำสั่งใดให้ทำการเช็คเครื่องหมาย√ ที่เช็คบ็อกซ์หน้าคำสั่งนั้นๆ ถ้าไม่ต้องการคำสั่งใดก็เช็คเครื่องหมาย√ออกจากเช็คบ็อกซ์หน้าคำสั่งนั้นเช่นกัน





Start menu Programs

Customize Start menu
Add… ปุ่มคำสั่งสำหรับการเพิ่มรายการในเมนู Start
Remove… ปุ่มคำสั่งสำหรับการลบรายการออกจากเมนู Start
Advance… ปุ่มคำสั่งสำหรับการเพิ่มรายการในเมนู Start โดยวิธีพิเศษ
Documents menu
Clear… ปุ่มคำสั่งสำหรับลบรายการใน Document บนเมนู Start

การเพิ่มรายการในเมนู Start

1. คลิกที่ปุ่ม Add…



2. คลิกปุ่ม Browse…


3. เลือกโปรแกรมที่ต้องการเพิ่ม…คลิกปุ่ม Open


4. ที่ Command line: จะแสดงเส้นทางของโปรแกรมที่ต้องการเปิด…คลิกปุ่ม Next>

5. เลือกตำแหน่งที่ต้องการแสดงรายการคำสั่งในเมนู Start คลิก Next>

6. ชื่อของโปรแกรมที่ต้องการจะปรากฏใน Text Box (ใส่ชื่อใหม่ได้) คลิกปุ่ม Finish

การลบรายการออกจากเมนู Start
1. คลิกเมาส์ที่ปุ่ม Remove…



2. เลือกรายการที่ต้องการลบในหน้าต่าง คำสั่ง Remove จะมีสีเข้มขึ้น
3. คลิกปุ่ม Remove เพื่อลบรายการที่เลือกไว้ เมื่อต้องการยกเลิก คลิกปุ่ม Close



*********************************************************************

การเพิ่มหรือลบรายการในเมนู Start โดยใช้ปุ่มคำสั่ง Advance…
1.
คลิกเมาส์ที่ปุ่ม Advance…

2. เมื่อต้องการเพิ่มหรือลบรายการในส่วนใด สามารถทำได้เช่นเดียวกับการใช้งาน Windows Explorer คือคลิกเลือกรายการที่ต้องการลบ แล้วใช้คำสั่ง Delete ได้เลย หรือถ้าต้องการเพิ่ม ก็สามารถสร้าง Short cut ในตำแหน่งที่ต้องการเช่นกัน

*** บนระบบปฏิบัติการ Windows’98 การเพิ่มหรือลบรายการสามารถทำได้โดยวิธีการใช้คำสั่ง Delete โดยการคลิกขวาที่เมนู Start ได้เลย ส่วนการเพิ่มสามารถใช้วิธีการลากโปรแกรมมาวางไว้ที่รายการของเมนู Start จะเป็นการสร้าง Short cut บนเมนู Start ได้เช่นกัน***

****************************************************************

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Camfrog คือ

แคมฟรอก (Camfrog) เป็นซอฟต์แวร์ของบริษัทแคมแชร์ (Camshare) สามารถให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนภาพจากเว็บแคมและเสียงผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยโปรแกรมนี้สามารถใช้ให้มีการประชุมออนไลน์ได้หลายคนพร้อมกัน แคมฟรอกแตกต่างจากโปรแกรมทั่วไปโดยผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมบนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองได้ ในปัจจุบัน แคมฟรอกมีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด และการแสดงวีดีโอ หลายอย่างรวมถึงเรื่อง การท่องเที่ยว กีฬา ภาษา วัฒนธรรม เล่นเกมตอบปัญหาออนไลน์ แม้แต่เรื่องทางเพศ หรือการร่วมเพศออนไลน์ ในแคมฟรอก

แคมฟรอกมีการใช้งานแบ่งออกเป็นห้องโดยแต่ละห้องจะแบ่งออกตามหัวข้อในการสนทนา เช่นห้องสำหรับพูดคุยภาษาอังกฤษ ภาษาอิตาลี ภาษาเยอรมัน สำหรับฝึกภาษา ซึ่งรวมไปถึงภาษามือสำหรับคนพิการที่มีการเปิดไว้ให้คนพิการได้มีโอกาสคุยกันออนไลน์หลายห้อง นอกจากนี้ยังมีห้องสำหรับพูดคุยเรื่องเพลง หรือเล่าเรื่องผี อย่างไรก็ตามการใช้งานส่วนใหญ่ในแคมฟรอกเป็นการใช้งานสำหรับชมและแสดงลามกทางอินเทอร์เน็ต ในประเทศไทย คนไทยเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการโปรแกรมแคมฟรอกมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก โดยส่วนหนึ่งใช้เพื่อรับชมการแสดงลามกอนาจารทางอินเทอร์เน็ต หรือไม่ก็แสดงลามกเสียเอง

ซึ่งจากการใช้งานที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์สูงในประเทศไทย ในช่วงต้นปี 2550 ได้มีข่าวออกมาว่าทางกระทรวงไอซีทีพยายามห้ามการใช้งานแคมฟรอกในประเทศไทย ซึ่งสามารถก่อให้เกิดปัญหาการขายตัวสำหรับเยาวชน

แต่ในปัจจุบันมีการป้องกันการโชว์ลามกอนาจารได้มากขึ้น และยังมีการนำแคมฟร้อกมาใช้งานในทางที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์มากขึ้น ทั้งในการการศึกษา การใช้ในองค์กรธุรกิจ และอื่น ๆ

ซอฟต์แวร์

ซอฟต์แวร์ของแคมฟรอกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักคือซอฟต์แวร์ สำหรับการติดตั้งแคมฟรอกลงบนเซิร์ฟเวอร์ของตนเอง และซอฟต์แวร์ของไคลเอนต์ที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อดูภาพผ่านทางเซิร์ฟเวอร์นั้น นอกจากนี้ทางแคมฟรอกยังมีซอฟต์แวร์อื่นได้ แคมฟรอกเว็บและแคมฟรอกทูลบาร์

แคมฟรอกไคลเอนต์
แคมฟรอกไคลเอนต์เป็นซอฟต์แวร์ที่ให้ผู้ใช้ทั่วไปเชื่อมต่อเข้ากับผู้ใช้อื่นผ่านทางเซิร์ฟเวอร์ โดยผู้ใช้เมื่อดาวน์โหลดและลงทะเบียนการใช้งานสามารถใช้งานได้ทันที โดยการเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการเข้าชม โดยสามารถให้ผู้ใช้เชื่อมต่อผ่านทางเว็บแคมสำหรับแสดงผลหรือเข้าชมได้ และสามารถทำงานผ่านไฟร์วอลล์ หรือเราเตอร์ได้ แคมฟรอกไคลเอนต์แบ่งออกเป็นสองรุ่น โดยรุ่นที่ใช้งานได้ฟรีและรุ่นที่ที่ต้องเสียเงินใช้ ซึ่งมีความสามารถพิเศษเพิ่มเข้ามา เช่นสามารถดูวิดีโอขนาดใหญ่ หรือดูวิดีโอหลายหน้าจอพร้อมกันได้
แคมฟรอกเซิร์ฟเวอร์
แคมฟรอกเซิร์ฟเวอร์เป็นซอฟต์แวร์ให้ผู้ใช้ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ของตนเองให้ผู้ใช้คนอื่นได้เข้ามาใช้งาน โดยผู้ติดตั้งสามารถเป็นผู้ควบคุมระบบของเซิร์ฟเวอร์นั้น เช่น จำกัดผู้ใช้งาน ระบุจำนวนผู้ใช้งานได้ แคมฟรอกเซิร์ฟเวอร์แบ่งออกเป็นสองรุ่นคือ รุ่นฟรีและรุ่นที่ต้องเสียเงิน
แคมฟรอกเว็บ
แคมฟรอกเว็บเป็นโปรแกรมติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์ให้ผู้ใช้สามารถประชุมออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ได้ โดยผู้ใช้งานสามารถใช้งานผ่านทางเว็บไซต์โดยตรงแตกต่างกับรุ่นแคมฟรอกเซิร์ฟเวอร์ที่ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้งานผ่านทางซอฟต์แวร์ไคลเอนต์
แคมฟรอกทูลบาร์
แคมฟรอกทูลบาร์เป็นโปรแกรมเสริมสำหรับติดตั้งบนเว็บเบราว์เซอร์ สำหรับค้นหารายชื่อเซิร์ฟเวอร์หรือค้นหาผู้ใช้งานที่ออนไลน์อยู่ สำหรับติดตั้งกับไฟร์ฟอกซ์และอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์

แหล่งข้อมูล
- http://th.wikipedia.org/wiki/แคมฟรอก